ประวัติความเป็นมาของกลุ่มจักสานจากต้นคล้า
ขัวเบิ่งคล้า
กลุ่มอาชีพจักสานจากต้นคล้า เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 โดยชาวบ้านที่ต้องการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นจากบรรพบุรุษ ซึ่งเดิมเคยจักสาน กระติบข้าวเหนียว ไว้ใช้ในครัวเรือน จากรากฐานความรู้ดั้งเดิมนี้ ได้มีการพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับยุคสมัยและความต้องการของผู้บริโภค จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กระเป๋า ของใช้ในชีวิตประจำวัน พวงกุญแจ ที่รองแก้ว และการสร้างสรรค์ กระดาษจากเศษคล้า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้
นอกจากการผลิตเพื่อจำหน่ายแล้ว กลุ่มยังได้เปิดพื้นที่เรียนรู้ผ่าน กิจกรรม Workshop ที่ให้ผู้สนใจได้เข้ามาสัมผัสกระบวนการจักสานด้วยตนเอง ตั้งแต่การสานที่รองแก้วง่าย ๆ ไปจนถึงการทำพวงกุญแจและกระดาษจากเศษคล้า ล่าสุดยังขยายกิจกรรมสู่การทำ ผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่
ตลอดเวลากว่า 20 ปี กลุ่มจักสานจากต้นคล้าได้กลายเป็นทั้ง ศูนย์รวมอาชีพของชุมชน และ แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่สำคัญ โดยดำเนินงานร่วมกับสมาชิกกว่า 30 คน สร้างรายได้ให้ครอบครัวในชุมชน พร้อมทั้งเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาและส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้ยั่งยืน

ประวัติกลุ่มจักสานจากต้นคล้า (Timeline)
ปี 2550–2560
-
เริ่ม พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากเศษวัสดุ โดยนำเศษคล้าที่เหลือจากการจักสานมาทำเป็น กระดาษและเส้นใย
-
ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น
-
สมุดโน้ต
-
ที่คั่นหนังสือ
-
กระดาษหัตถกรรม
-
ปี 2543-2549
-
มีการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มจากกระติบข้าว เช่น
-
กระเป๋า
-
ของใช้ในครัวเรือน
-
ผลิตภัณฑ์ตกแต่ง
-
-
เริ่มรวมกลุ่มสมาชิกมากขึ้น จนมี สมาชิกประมาณ 30 คน
ปี 2542
-
กลุ่มอาชีพจักสานจากต้นคล้าเริ่มก่อตั้งขึ้น
-
จุดเริ่มต้นจาก การสืบสานภูมิปัญญาปู่ย่าตายาย ที่เคยจักสาน กระติบข้าวเหนียว เป็นหลัก
ปี 2560
-
ขยายการทำงานสู่ กิจกรรมเชิงการเรียนรู้ (Workshop)
-
การสานที่รองแก้ว
-
การทำพวงกุญแจ
-
การทำกระดาษจากเศษคล้า
-
และล่าสุดเพิ่มกิจกรรม การทำผ้ามัดย้อม
-
เปิดพื้นที่เรียนรู้ที่ ตลาดบ้านโนนสะอาด ให้ผู้สนใจเข้ามาสัมผัส ลงมือทำ และนำผลงานกลับบ้านได้
ปัจจุบัน
(ดำเนินงานมากกว่า 20 ปี)
-
กลายเป็นทั้ง ศูนย์กลางอาชีพของชุมชน และ แหล่งเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น
-
มีชื่อเสียงจากทั้งการผลิตสินค้าและการจัด Workshop
-
ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวเชิงชุมชน
